>ต้นทุนทำเองกินเองที่บ้าน ประมาณ 40-50 บาท ต่อ 330 ml ค่ะ
>
>โดยทั่วไปกำไรต่อขวดไม่ควรต่ำกว่า 60 % ของราคาขายปลีก
>ถึงจะรอด เพราะมันต้องมีการแข่งขันเรื่องราคากันอีก
>ถ้าคิดจะขายของ ไม่วางกำไรขั้นต่ำไว้ประมาณนี้
>ก็เลิกคิดที่จะทำธุรกิจเถอะ สิ่งที่เธอพูดไม่สามารถเป็นจริงได้ในชีวิตจริงค่ะ พูดแบบนี้แสดงว่าเป็นอีกรายที่ไม่เคยเข้าสู่ธุรกิจการค้าจริงๆ เพราะหลักการคือไม่ใช่เลย
ที่บอกกำไรต่อขวดไม่ควรต่ำกว่า 60% ของราคาปลีก เพราะมันต้องแข่งเรื่องราคาอีก อันนี้อ่านแล้วขำกลิ้งเลยค่ะ
เพราะประโยคนี้มันย้อนแยงจนเกิดข้อสงสัยว่าเธอได้เข้าใจสิ่งที่เธอพิมพ์มาบ้างมั้ย ในความเป็นจริงยิ่งแข่งขันเรื่องราคา ยิ่งกำไรต่ำค่ะ
เพราะเบียร์ของกลุ่มเจ้าสัวก็มีเพดานราคาที่ตรึงเอาไว้อยู่แล้ว และเป็นแบรนด์ที่คนไทยรู้จักและนิยมกันมายาวนานแทบไม่ต้องโฆษณาคนก็รู้จัก
เธอคิดว่ากระทู้นี้กำลังพูดถึงน้ำที่ละลายกากชาขายหรอคะ? ถึงจะเอากำไรมากได้ขนาดนั้น กระทู้นี้พูดถึงเบียร์และเป็นเบียร์แบรนด์ใหม่
ที่ถูกผลิตในภาคอุตสหกรรมครัวเรือนขนาดย่อม หมายความว่าต้นทุนที่เกิดขึ้นจะไม่สามารถทำกำไรได้มากในช่วงตั้งไข่ได้ เพราะภาคอุตสาหกรรมขนาดย่อมเธอต้องดูด้วยว่า
มีต้นทุนจากโรงงานที่ผลิตที่มายังไง ตั้งโรงงานเอง? ว่าจ้างโรงกลั่นเบียร์รายใหญ่ผลิต? ภาคอุตสาหกรรมขนาดย่อมไม่มีวันที่จะโหมซื้อวัตุดิบได้มหาศาล
จนดันต้นทุนให้ต่่ำได้เท่าภาคอุตสาหกรรมรายใหญ่อย่างผู้ผลิตเบียร์มืออาชีพ AKA เจ้าสัวทุนแสนล้าน และยังมีปัจจัยเกี่ยวพันอย่างที่รีบนๆ บอกไป
คือค่าแรงงานลูกจ้าง ค่าขนส่ง ค่าใช้จ่ายอีกมากมายที่รวมในไลน์การผลิต ตัดถัวเฉลี่ยแล้วอย่าหาได้คิดว่ากำไรจะไปถึง 60% ค่ะ แค่ 10% ก็เอาให้ถึงก่อน
ส่วนคำถามที่ว่าถ้ากำไรน้อยขนาดนั้นจะทำไปทำไม เรื่องธุรกิจเขาไม่ได้มองแค่อนาคตใกล้ๆ ไม่กี่ปีค่ะ เพราะขึ้นชื่อว่าเบียร์แบรนด์ใหม่
ย่อมต้องมีเรื่องการโฆษณา pr เรื่องการขยับขยายไลน์ผลิต ทั้งการตั้งโรงงาน การว่าจ้างแรงงานเพิ่ม การเพิ่มพูนวัตถุดิบของสินค้า
อนาคตตีไปอีก 10 ปีอัพถึงจะเกิดจุดคุ้มทุนที่ลงไป กว่าจะกำไรดีระดับเจ้าสัวเผลอๆ ล่อไป 20 ปีโน่นค่ะ ยิ่งรัฐบาลไม่ได้เอื้อธุรกิจครัวเรือนแล้วยิ่งยาก
ความคิดตื้นเขินแบบที่เธอพิมพ์มาไม่มีวันที่จะเข้าถึงหรือประสบความสำเร็จทางธุรกิจหรอกค่ะถ้ายังไม่มีความเข้าใจพื้นฐานของสินค้าที่กำลังพูดถึงเลยแม้แต่นิดเดียว